Chat
x
toggle menu
toggle menu

Select Groups

All Group
  • All Group
  • นโยบายเเละมาตรการพิเศษในการส่งเสริม
  • การขอรับการส่งเสริมการลงทุน
  • การออกบัตรส่งเสริม
  • การเปิดดำเนินการ
  • การเเก้ไขโครงการ
  • การดำเนินการอื่น ๆ
  • การรายงานความคืบหน้าโครงการ (e-Monitoring)
  • การปฏิบัติหลังการได้รับการส่งเสริม
  • การยกเลิกบัตรส่งเสริม
  • เรื่องทั่วไป
  • การใช้สิทธิด้านที่ดิน
  • การใช้สิทธิด้านเครื่องจักร
  • การใช้สิทธิด้านช่างฝีมือ/ต่างด้าว
  • การใช้สิทธิด้านวัตถุดิบ
  • ประเภทกิจการ - การแพทย์
  • การใช้สิทธิด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • ประเภทกิจการ - รถยนต์ไฟฟ้า
  • ประเภทกิจการ - ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC) IPO และ TISO
  • ประเภทกิจการ - โรงแรม
  • ประเภทกิจการ - ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะรวมทั้งชิ้นส่วนโลหะ
  • ประเภทกิจการ - กิจการผลิตเครื่่องจักร อุุปกรณ์และชิ้นส่วน
  • ประเภทกิจการ - กิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่า ประเทศด้วยระบบที่่ทันสมัย (IDC)
ข้อแตกต่างระหว่างเงินลงทุนและทุนจดทะเบียนที่ระบุในบัตรส่งเสริม เช่นในบัตร ระบุว่าจะต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน 500,000 บาทรวมทุนจะทะเบียนเดิมไม่น้อยกว่า สามสิบหกล้านห้าแสนบาท ต้องชำระเต็มก่อนวันเปิดดำเนินการกับจะต้องมีขนาดลงทุน ไม่รวมค่าที่ดินและเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท

ตามความหมายของ BOI เงินลงทุน คือ จำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้ไปเพื่อดำเนินการโครงการนั้น เช่น ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าเครื่องจักร ค่าสินทรัพย์ต่างๆ และเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น

เงินลงทุนนี้ มีที่มาหลักๆ คือ 1) เงินของเราเอง คือเงินทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระ และ 2) เงินของคนอื่น คือ เงินกู้ ในการขอรับการส่งเสริมทั่วไป BOI จะกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องใช้เงินของเราเองไม่น้อยกว่า 1 ส่วน และกู้ไม่เกิน 3 ส่วน (คือมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3:1)

กรณีที่สอบถาม คือ บริษัทคงจะยื่นโครงการใหม่เข้าไป โดยมีขนาดการลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท บีโอไอก็เลยกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนและเรียกชำระไม่น้อยกว่า 0.5 ล้านบาท (ส่วนที่เหลือ 1.5 ล้าน ใช้เงินกู้ก็ได้) ส่วนเงื่อนไข "ขนาดการลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท" นั้น เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน ซึ่งกำหนดเหมือนกันทุกโครงการ (ยกเว้นโครงการ SME) คือไม่ว่าจะยื่นโครงการขอรับส่งเสริมที่มีขนาดการลงทุน 2 ล้านบาท หรือ 200 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านบาท บีโอไอก็จะกำหนดเงื่อนไขเหมือนกันว่า "ต้องมีขนาดการลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท"

ขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทนี้ มีวิธีนับแตกต่างกัน ระหว่างโครงการริเริ่ม กับโครงการขยาย จึงต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย

วิธีการคำนวณขนาดการลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) โครงการริเริ่ม โครงการขยาย ค่าก่อสร้าง O O ค่าเครื่องจักร O O ค่าสินทรัพย์อื่นๆ O X ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการ O X ค่าที่ดิน X X ค่าวิชาการ X X เงินทุนหมุนเวียน X X

ในหัวข้อ 5.4 รายละเอียดเครื่องจักร ต้องใส่ข้อมูลที่มีการซื้อจริง หรือให้รวมแพลนที่จะซื้อแต่ยังไม่ได้ซื้อ แล้วรวมถึงอุปกรณ์สำนักงานเช่น เครื่องถ่ายเอกสาร โทรศัพท์ ด้วยหรือไม่

ข้อ 5.4 รายละเอียดเครื่องจักร หมายถึงเครื่องจักรที่มีแผนจะลงทุนใหม่สำหรับโครงการที่ยื่นขอส่งเสริม ทั้งนี้เครื่องจักรเก่าใช้แล้วในประเทศ ไม่สามารถนำมานับรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการได้ นอกจากนี้อุปกรณ์สำนักงานอื่นๆ ไม่นับเป็นเครื่องจักร แต่นับเป็นสินทรัพย์อื่น ๆ

ทางบริษัทฯ ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนสถานที่โรงงานจากสาขาที่ 2 (นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง) เป็น สาขาสำนักงานใหญ่ (นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ 2) ได้รับการอนุมัติเรียบร้อย แต่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อความด้านท้ายหนังสืออนุมัติว่า "โดยบริษัทฯ จะต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ตั้งเดิมภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้เปลี่ยนสถานที่ตั้งโรงงาน" ซึ่งสถานที่เปลี่ยนนั้น เป็นชื่อบริษัทฯ เดียวกันต่างกันแค่สาขาเท่านั้น

บริษัทที่มีหุ้นต่างชาติข้างมาก ไม่มีสิทธิถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน เว้นแต่จะเป็นไปตามกฎหมายพิเศษ เช่น พรบ.ส่งเสริมการลงทุน หรือ พรบ.การนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

พรบ.ส่งเสริมการลงทุน กำหนดไว้ว่า หากบริษัทต่างชาติเลิกกิจการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน จะต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือครองตาม พรบ.ส่งเสริมการลงทุน ภายใน 1 ปี นับจากเลิกกิจการ กรณีนี้ แม้ไม่ใช่เป็นการเลิกกิจการ แต่เป็นการย้ายสถานประกอบการ ดังนั้น ที่ดินเก่าที่เคยถือครอง จึงไม่ใช่ที่ดินสำหรับประกอบกิจการที่ได้รับส่งเสริมตามโครงการนั้นอีกต่อไป (จึงมีผลเท่ากับเลิกกิจการในที่ตั้งเดิม) ดังนั้น บีโอไอจึงกำหนดให้บริษัทจำหน่ายที่ดินที่ถือครองตาม พรบ.ส่งเสริมการลงทุน ภายใน 1 ปี นับจากวันที่เลิกกิจการ (กรณีนี้คือวันที่อนุญาตให้เปลี่ยนที่ตั้ง) บริษัทเดิมตั้งอยู่ในนิคมปิ่นทอง ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตาม พรบ.การนิคม ไม่ได้ถือครองที่ดินตาม พรบ.ส่งเสริมลงทุน จึงไม่มีหน้าที่ต้องจำหน่ายที่ดินใน 1 ปี ตามที่บีโอไอแจ้ง แต่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) ทราบ และหากบริษัทจะไม่มีการลงทุนในนิคมปิ่นทองอีกต่อไป ก็ต้องจำหน่ายที่ดินตามเงื่อนไขที่ กนอ จะกำหนด

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบ มีอะไรบ้าง

ประกาศสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ป.1/2546 ลงวันที่ 16 มกราคม 2546 เรื่อง คำจำกัดความของส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ โครงโรงงานสำเร็จรูป วัตถุดิบและวัสดุจำเป็น

การขอชำระภาษีอากรสำหรับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปหน้าโรงงาน เมื่อบริษัทดำเนินการเรียบร้อยแล้ว บริษัทสามารถนำสินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตได้จำหน่ายให้กับลูกค้าในประเทศ (ลูกค้าที่ไม่ได้เป็น BOI) ได้หรือไม่

หลังจากที่ได้รับอนุมัติจาก BOI และได้ไปชำระภาษีอากรผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่อกรมศุลกากรแล้ว เท่ากับว่า ได้ปลดภาระภาษีอากรของวัตถุดิบที่นำเข้ามาโดยใช้สิทธิยกเว้นภาษีมาตรา 36 ที่ได้ใช้ไปในการผลิตสินค้าดังกล่าวแล้ว บริษัทจึงสามารถจำหน่ายสินค้านั้นในประเทศได้และสามารถนำหนังสืออนุมัติจาก BOI และหลักฐานการชำระภาษี ไปยื่นตัดบัญชีวัตถุดิบได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อได้รับการส่งเสริมมีอะไรบ้าง

ผู้ได้รับส่งเสริมจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นผู้ได้รับส่งเสริม และจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิประโยชน์ในแต่ละเรื่องโดยเคร่งครัด

 

โดยโครงการแต่ละโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนอาจได้รับสิทธิและประโยชน์แตกต่างกันไปตามประเภทกิจการ สถานที่ตั้งโรงงาน และนโยบายส่งเสริมการลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ ผู้ได้รับส่งเสริมจะได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิประโยชน์นั้นๆ ไปจนสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริม แม้ว่าในภายหลังอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการให้สิทธิประโยชน์ไปเป็นอย่างอื่นก็ตาม

 

ภายหลังสิทธิและประโยชน์ทางด้านภาษีอากรสิ้นสุดลง ผู้ได้รับส่งเสริมยังคงมีสถานะเป็นผู้ได้รับส่งเสริมอยู่ โดยยังคงได้รับหลักประกันการคุ้มครองตามกฎหมาย และยังมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในบัตรส่งเสริมตลอดไป จนกว่าจะขอยกเลิกบัตรส่งเสริมนั้น

นอกจากตารางแล้วมีเอกสารอื่นหรือไม่ ที่ต้องแนบประกอบการรายงานการใช้วัตถุดิบทุกรอบ 6 เดือน เนื่องจากบริษัท ยังไม่เคยยื่นรายงานดังกล่าว (กิจการประเภท 5.5)

การยื่นรายงานการใช้วัตถุดิบในประเทศทุกรอบ 6 เดือน ใช้เฉพาะหนังสือนำส่งที่เป็นหัวจดหมายบริษัท และตารางรายงานการใช้วัตถุดิบ เท่านั้น

ผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับการส่งเสริมในกิจการ 1.18 อาหารทางการแพทย์/อาหารเสริม จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

หากเป็นการขยายกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์/อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการส่งเสริมจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนกับ อย. หรือหน่วยงานมาตรฐานอื่นที่เป็นมาตรฐานสากล ก่อนขอรับการส่งเสริม แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็จะต้องมีหลักฐานทางวิชาการว่าเป็นอาหารทางการแพทย์/อาหารเสริม  และสำหรับอาหารเสริมจะต้องมีกระบวนการสกัดให้ได้ Active ingredient ในโครงการด้วย

ระบบฯ ปรากฏข้อความสีแดง ‘สินทรัพย์ไม่เท่ากับหนี้สินบวกส่วนผู้ถือหุ้น’ หมายความว่าอย่างไร

เบื้องต้นให้ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล โดย (A) มูลค่าสินทรัพย์ ต้องเท่ากับ (B) มูลค่าหนี้สิน รวมกับ (C) มูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้น (ส่วนของเจ้าของหรือทุน) ตามหลักการบัญชีทั่วไป หรือ (A) = (B) + (C) ตามรูปด้านล่าง

บริษัทฯ ได้รายงานในระบบฯ หรือได้รับใบอนุญาตเปิดดำเนินการทุกโครงการแล้ว แต่ยังได้รับ หนังสือติดตามให้รายงาน ต้องดำเนินการอย่างไร

เนื่องจากการออกหนังสือติดตามเป็นการออกอัตโนมัติจากระบบฯ รวมถึงช่วงเวลาที่บริษัทกดส่งข้อมูลหรือได้รับใบอนุญาตเปิดดำเนินการนั้น ระบบฯ อาจออกหนังสือไปก่อนหน้าแล้ว ทำให้บริษัทยังได้รับหนังสือติดตาม ดังนั้น หากระบบฯ ขึ้นว่าได้ส่งข้อมูลแล้ว บริษัทไม่ต้องดำเนินการอะไรหรือทำหนังสือแจ้งเข้ามายังสำนักงานแต่อย่างใด

โครงการได้รับส่งเสริมตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ให้รายงานรายการลงทุนอย่างไร

ให้รายงานรายการลงทุนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเท่านั้น ทั้งนี้ รายการลงทุนที่เคยแสดงในการยื่นขอรับการส่งเสริมสามารถใช้เป็นแนวทางพิจารณาว่ารายการลงทุนใดเป็นการลงทุนตามโครงการ

รบกวนปรึกษาเรื่องการนำเครื่องจักรเก่ามาใช้ในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมแล้ว 1.ตอนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมครั้งแรกไม่ได้ระบุว่าจะมีการใช้เครื่องจักรเก่า ตอนนี้ทางบริษัทต้องการเพิ่มไลน์การผลิตอีก 1 ไลน์ ผลิตผลิตภัณฑ์เดิม แต่ต้องการซื้อเครื่องจักรเก่า มีทั้งเกินและไม่เกิน 10 ปีมาใช้ในบางกระบวนการผลิต ทางบริษัทสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร 2.ในกรณีถ้าบริษัทนำเข้าเครื่องจักรเก่าโดยการเสียภาษีอากรนำเข้า เครื่องจักรดังกล่าวสามารถนำมาใช้ในไลน์การผลิตที่ได้รับอนุมัติ การส่งเสริมหรือไม่ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาสามารถใช้สิทธิ์ภาษีของ BOI ได้หรือไม่

กรณีที่โครงการเดิมได้รับส่งเสริมโดยเป็นการใช้เครื่องจักรใหม่ทั้งสิ้น แต่ต่อมาต้องการใช้เครื่องจักรเก่าบางส่วนหรือทั้งหมด จะต้องยื่นขอแก้ไขโครงการ เพื่อแก้ไขสภาพเครื่องจักร ให้สามารถใช้เครื่องจักรเก่าในโครงการได้ แนวทางพิจารณาคือ

1.กรณีเป็นโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมก่อนวันที่ 1 มกราคม 2558 ใช้หลักเกณฑ์ตามประกาศที่ 1/2543 คือ

1)ให้ใช้เครื่องจักรเก่าที่อายุไม่เกิน 10 ปี โดยได้รับยกเว้นอากรขาเข้า

2)ให้ใช้เครื่องจักรเก่าเกิน 10 ปี โดยไม่ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า

2.กรณีเป็นโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ใช้หลักเกณฑ์ตามประกาศที่ 2/2557 และ 6/2558 คือ

1)ให้ใช้เครื่องจักรเก่าไม่เกิน 5 ปี โดยนับเป็นขนาดลงทุน แต่ไม่ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า

2)ให้ใช้เครื่องจักรเก่าตั้งแต่ 5 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี โดยไม่นับเป็นขนาดการลงทุน และไม่ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า

สรุป

การใช้เครื่องจักรเก่าในโครงการที่ได้รับส่งเสริม จะต้องได้รับอนุญาตจาก BOI และมีการระบุในบัตรส่งเสริมว่าให้มีการใช้เครื่องจักรเก่าได้ ทั้งนี้ เครื่องจักรเก่าจะต้องมีใบรับรองประสิทธิภาพจากสถาบันที่เชื่อถือได้ ตามเงื่อนไขที่ BOI กำหนดด้วย

--------------------------------------------------------------------------------

ตอบคำถาม

สามารถยื่นขอแก้ไขโครงการเพื่อใช้เครื่องจักรเก่า โดย BOI จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามแนวทางพิจารณาข้างต้น

การใช้เครื่องจักรเก่าที่นำเข้าโดยชำระภาษีเอง จะต้องเป็นกรณีที่มีการระบุเงื่อนไขในบัตรส่งเสริมให้ใช้เครื่องจักรเก่าได้ด้วย มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นเครื่องจักรนอกโครงการ BOI ซึ่งไม่สามารถนำมานับเป็นกำลังผลิต หรือใช้สิทธิประโยชน์ใดๆตามโครงการได้

สอบถามวิธีการคิด ดังนี้ -เมื่อคำนวณ Cycle Time ในแต่ละขั้นตอนแล้ว (ขั้นตอนการฉีด,ประกอบ,ตรวจสอบ) ว่า 1 นาทีได้กี่ชิ้น แล้วคูณชั่วโมงการทำงาน(ตามขอรับส่งเสริม)ต่อวัน แล้วจึงคูณปี (ตามขอรับการส่งเสริม) แล้วคูณจำนวนเครื่อง ใช่หรือเปล่า เช่น ขั้นตอนการฉีดพลาสติก Cycle Time = 15.5 วินาที, 8 Cavity วิธีคำนวณ - (60(วินาที) x 60(นาที)) = 3600 (วินาที) หาร 15.5 (วินาที) Cycle Time = 232 Shot x 8 Cavity(ชิ้น) = 1,858 ชิ้น/ชั่วโมง - 1 วัน = 1,858 ชิ้น/ ชั่วโมง x 24 ชั่วโมง = 44,592 ชิ้น/วัน - 1 ปี = 280 วัน x 44,592 ชิ้น/วัน = 12,485,760 ชิ้น คำนวณตามนี้ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเราหากำลังการผลิตต่อปี ของแต่ละขั้นตอนได้แล้ว จึง x จำนวนเครื่องจักรของแต่ละขั้นตอนการผลิต ได้เท่าไหร่แล้วนำกำลังการผลิตของแต่ละขั้นตอนมารวมกัน ได้เท่าไหร่ แล้วถือว่าเป็นกำลังการผลิตของโครงการ เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า

โดยหลักการ น่าจะเข้าใจถูกต้องแล้ว หากเครื่องฉีดพลาสติกมี cycle time ในการผลิต 8 ชิ้น ต่อ 15.5 วินาที จะเท่ากับ 30.96 ชิ้น/นาที/เครื่อง จากนั้น คูณกับจำนวนเครื่อง และเวลาทำงานตามบัตรส่งเสริม เป็นกำลังผลิตสูงสุดต่อปี หากกำลังผลิตสูงสุดที่คำนวณได้ บวกลบไม่เกิน 20% ของกำลังผลิตตามบัตรส่งเสริม ก็จะให้เปิดดำเนินการตามกำลังผลิตในบัตรส่งเสริม

แต่กรณีที่สอบถาม หากสินค้าที่ได้รับส่งเสริมเป็นการประกอบชิ้นส่วนพลาสติกหลายชิ้นเข้าด้วยกัน การคำนวณ cycle time ก็ต้องคำนวณจากสินค้าที่ผลิตจำหน่าย ไม่ใช่คำนวณจากชิ้นส่วนพลาสติกแต่ละชิ้น

เนื่องด้วยโครงการของเราเป็นโครงการที่ผลิตยางรถยนต์ แต่ได้มีการรับจ้าง test ยางสำเร็จรูปให้กับบริษัทในเครือ โดยใช้เครื่องจักรในโครงการเรา (การ test ยางสำเร็จรูปเป็นขั้นตอนหนึ่งในกรรมวิธีการผลิตของเรา) โดยรับยางมาจากบริษัทผู้ว่าจ้าง แล้วทำการ test ให้ คำถาม : 1. ในกรณีอย่างนี้ บริษัทเราต้องยื่นขออนุมัติเรื่องใดกับ BOI ระหว่างขอใช้เครื่องจักรเพื่อการอื่น หรือแก้ไขกรรมวิธีการผลิต หรือมีเรื่องอื่นอีก ช่วยแนะนำด้วย 2. รายได้ที่เกิดขึ้นจากการรับจ้าง test ก่อนหน้าที่จะขออนุมัติในครั้งนี้ ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และยังมีผลกระทบอื่นอีกไหม เช่น เราต้องชำระภาษีเครื่อง test หรือเปล่า เพราะว่าเราไม่ได้ผลิตเพื่อส่งออก 3. การขอผ่อนผันกรรมวิธีการผลิตคืออะไร

1. การรับจ้างผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับส่งเสริม หรือไม่ครบตามกระบวนการผลิต ปกติจะใช้วิธีขออนุญาตใช้เครื่องจักรเพื่อการอื่น ซึ่งกรณีของบริษัท ก็คือการขอใช้เครื่อง Test เพื่อรับจ้างตรวจสอบสินค้าที่บริษัทไม่ได้ผลิตเอง เงื่อนไขในการอนุญาตคือ จะต้องได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการครบตามโครงการแล้ว และจะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการรับจ้าง

2. รายได้จากการรับจ้างที่เกิดก่อนหน้านั้น ก็ไปชำระภาษีเงินได้ให้ถูกต้อง และถ้าได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการแล้ว ก็ให้ยื่นขออนุญาตใช้เครื่องจักรเพื่อการอื่น แต่ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการ ก็จะอนุมัติให้ไม่ได้ หากได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องจักรเพื่อการอื่น เรื่องที่เหลือก็คงไม่มีปัญหาอะไร

3. การขอผ่อนผันกรรมวิธีการผลิต คือ การที่บริษัทไม่สามารถทำการผลิตได้ครบตามขั้นตอนที่ได้รับการส่งเสริมเป็นการชั่วคราว เช่น ตามโครงการต้องฉีดชิ้นส่วนพลาสติกขึ้นเอง แต่ในช่วงเริ่มผลิตใหม่ๆ อาจมีปัญหาในการควบคุมคุณภาพ จึงต้องขออนุญาตนำชิ้นส่วนที่ฉีดขึ้นรูปแล้วมาใช้บางส่วนเป็นการชั่วคราวด้วย เป็นต้น

บริษัทไม่มีการใช้สิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร มีการใช้สิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบ แต่บริษัทไม่ได้นำเข้าวัตถุดิบเอง ซื้อผ่านกิจการที่ได้รับสิทธิ BOI แล้วขอตัดบัญชีด้วย REPORT V และบริษัทยังไม่ได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการ ถ้าต้องการขอยกเลิกบัตรส่งเสริมต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

1. ถ้าบริษัทไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร ก็ไม่เกิดภาระภาษีอะไร

2. ส่วนวัตถุดิบ ถ้าเป็นการซื้อในประเทศจากบริษัท BOI ยอดนำเข้าคงเหลือ (balance) ก็จะเป็น 0 ซึ่งก็ไม่มีภาระภาษีอะไร -> แต่ก่อนจะยกเลิกบัตรส่งเสริม ขอให้ตรวจสอบกับซัพพลายเออร์ BOI ก่อนว่า ได้โอนสิทธิตัดบัญชีวัตถุดิบกลับไปให้ครบถ้วนแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ครบ ก็รีบตัดบัญชีและโอนสิทธิไปให้ครบ

3. มีการใช้สิทธิยกเว้นภาษีไปแล้วหรือไม่ หากมีการใช้สิทธิไปแล้ว ต้องยื่นเปิดดำเนินการกับ BOI ให้ผ่าน หากเปิดดำเนินการไม่ได้ จะถูกเพิกถอนสิทธิการยกเว้นภาษีเงินได้ย้อนหลังทั้งหมด แต่หากยังไม่ได้เปิดดำเนินการ และไม่ติดปัญหาภาระภาษีตามข้อ 1-3 จะไม่ยื่นเปิดดำเนินการก็ได้ การขอยกเลิกบัตรโดยไม่เปิดดำเนินการ จะถูกเพิกถอนบัตร ซึ่งหากตรวจสอบแล้วว่าไม่ติดปัญหาภาระภาษี ก็จะเพิกถอนบัตรโดยไม่มีภาระภาษี

ปัจจุบันนี้ กิจการ IPO ยังขอรับการส่งเสริมได้อยู่ไหม

ปัจจุบันกิจการ IPO และ ITC ไม่มีการให้การส่งเสริมแล้ว หากจะขอส่งเสริม จะต้องขอรับส่งเสริมในประเภท 7.34 กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Center : IBC) ในหมวดย่อย 1.11 แต่จะต้องเป็นการบริการแก่วิสาหกิจในเครือ และจะต้องมีขอบข่ายธุรกิจที่รวมหมวดย่อย 1.1 - 1.10 ข้อใดข้อหนึ่งรวมอยู่ด้วยไม่น้อยกว่า 1 ข้อ

โดยจะต้องมีการจ้างพนักงานประจำที่มีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับงาน IBC ไม่น้อยกว่า 10 คน แต่จะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบตามมาตรา 36 จึงอาจสรุปได้ว่า ตามประกาศฉบับปัจจุบัน กิจการ IPO และ ITC ในรูปแบบเดิม ไม่มีการให้การส่งเสริมแล้ว

หากบริษัทขาดทุนและต้องการใช้สิทธินำผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปหักจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลมีกำหนดเวลาไม่เกิน 5 ปีนับแต่พ้นกำหนดเวลานั้น ถามว่า 1. บริษัทต้องยื่นแบบคำขอใช้สิทธิสำหรับปี 2560 เพื่อที่ใช้สิทธิผลขาดทุน หรือไม่ 2. บริษัทมีผลขาดทุนในปี 2559 และ 2560 แต่ปี 2559 ไม่ได้ยื่นขอใช้สิทธิ จะสามารถนำผลขาดทุนในปี 2559 ไปใช้ได้หรือไม่ 3. ข้อความที่กล่าวในบัตรส่งเสริมการลงทุนว่า "ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลมีกำหนดเวลาไม่เกิน 5 ปีนับแต่พ้นกำหนดเวลานั้น" หมายความว่าใช้ผลขาดทุนไปได้ต่ออีก 5 ปีหลังจากวันสิ้นสุดของบัตรลงทุนใช่หรือไม่

1.-2. กรณีมีผลขาดทุน ไม่ต้องยื่นแบบขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีในรอบปีนั้นๆ

3. หมายความว่า ให้นำผลขาดทุนในช่วงเวลาที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปหักจากปีที่มีกำไรหลังจากสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษี มีกำหนดไม่เกิน 5 ปี โดยจะเลือกหักจากปีใดปีหนึ่งก็ได้ เช่น บริษัทได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี แต่มีผลขาดทุนในปีที่ 1, 2 และ 3 กรณีนี้บริษัทสามารถนำผลขาดทุนของปีที่ 1-3 ไปหักจากกำไรสุทธิของปีที่ 9-13 ได้

บริษัทมีหุ้นต่างชาติทั้งสิ้นได้รับการส่งเสริมกิจการ ROH จาก BOI ในปี พ.ศ. 2546 และได้รับสิทธิและประโยชน์ทางภาษีจากกรมสรรพากรกิจการ ROH ในปี พ.ศ. 2548 บริษัทควรพิจารณาเปลี่ยนเป็น IBC หรือไม่

ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท หากประสงค์จะขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ยื่นขออนุมัติเป็น IBC กับกรมสรรพากรโดยจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ IBC

กิจการ IBC ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ในกลุ่ม B1 โดยได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร วัตถุดิบอย่างไร

กิจการ IBC ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้วิจัยและพัฒนาและฝึกอบรม โดยไม่ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบ

ต้องการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน IBC กับ BOI ต้องทำอย่างไร

สามารถยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้ตามลิงค์: https://www.boi.go.th/index.php?page=form_app1

ขออภัยครับ ไม่มีข้อมูลส่วนนี้ ในภาษาที่ท่านเลือก !

Sorry, There is no information support your selected language !

Download และ ติดตั้งโปรแกรมอ่าน PDF

Download PDF Reader

Site map