กรณีที่ผู้ได้รับส่งเสริมลงทุนในหลายกิจการ ทั้งที่ได้รับส่งเสริมหรือไม่ได้รับการส่งเสริมก็ตาม ผู้ได้รับส่งเสริมจะต้องควบคุมการใช้สิทธิประโยชน์ให้จำกัดอยู่ภายในโครงการที่ได้รับส่งเสริมเท่านั้น เช่น จะต้องแยกบัญชีรายรับ-รายจ่ายของแต่ละโครงการ เพื่อให้สามารถคำนวณกำไรสุทธิที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของแต่ละโครงการได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น
เมื่อสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรของแต่ละโครงการสิ้นสุดลง ผู้ได้รับส่งเสริมอาจขอรวมโครงการที่ได้รับส่งเสริมเข้าด้วยกันก็ได้ เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการภายในบริษัท
ทั้งนี้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมแต่ละโครงการ อาจได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน หรืออาจจะมีกำหนดเริ่มต้นและสิ้นสุดแตกต่างกัน อีกทั้งสิทธิประโยชน์ของแต่ละบัตรส่งเสริม ก็จะต้องใช้เฉพาะโครงการที่ได้รับส่งเสริมนั้นๆ เท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่ได้รับส่งเสริมหลายโครงการ จึงต้องควบคุมการใช้สิทธิและประโยชน์ของแต่ละโครงการแยกออกจากกันโดยเคร่งครัด และบางครั้งจึงเป็นภาระต่อการควบคุมการใช้สิทธิประโยชน์ทั้งในด้านบุคลากร ระยะเวลา และค่าใช้จ่าย
ผู้ได้รับส่งเสริมอาจขอรวมบัตรส่งเสริม 2 ฉบับ หรือหลายฉบับเข้าด้วยกัน เพื่อลดภาระในการบริหารจัดการด้านสิทธิประโยชน์ และเพื่อทำให้การใช้เครื่องจักรของแต่ละโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้ โดยมีแนวทางการพิจารณา ดังนี้
1. ควรเป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเต็มโครงการแล้ว และ
2. ควรเป็นโครงการที่สิ้นสุดระยะเวลาการได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
กรณีที่ผู้ได้รับส่งเสริมประสงค์จะรวมโครงการที่ยังเปิดดำเนินการไม่เต็มโครงการ หรือสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรยังไม่สิ้นสุดลง จะอนุญาตให้รวมโครงการได้ โดยผู้ได้รับส่งเสริมจะต้องยินยอมสละสิทธิประโยชน์ให้เหลือเท่ากับโครงการที่มีสิทธิประโยชน์น้อยที่สุด ดังนี้
นอกเหนือจากการรวมโครงการแล้ว ผู้ได้รับส่งเสริมอาจขอรวมบัญชีปริมาณสต๊อควัตถุดิบของแต่ละโครงการเข้าด้วยกันโดยไม่ต้องรวมบัตรส่งเสริมก็ได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระในการควบคุมการใช้สิทธิประโยชน์การนำเข้าและตัดบัญชีวัตถุดิบของแต่ละโครงการได้
เนื่องจากข้อมูลสูตรการผลิต และ Transaction นำเข้า/ส่งออก/ตัดบัญชี ต่างๆ ถือเป็นข้อมูลความลับของบริษัทนั้นๆ ดังนั้น IC จึงกำหนดให้บริษัทที่ต้องการดาวน์โหลดข้อมูล จะต้องติดต่อขอรับข้อมูลที่เคาน์เตอร์ของ IC โดยตรง
แต่สำหรับบริษัทที่ไม่สะดวกจะเดินทางไปติดต่อที่ IC อาจสามารถใช้วิธีขอข้อมูลทางไปรษณีย์เพื่อให้ IC ส่งข้อมูลกลับให้ทางไปรษณีย์ก็ได้ โดยบริษัทจะต้องส่งแบบคำขอรับข้อมูล และเอกสารต่างๆที่กำหนด เช่น สำเนาหนังสือรับรองบริษัท สำเนาหนังสือเดินทางกรรมการ ฯลฯ ไปยัง IC ทางไปรษณีย์ ในทุกๆครั้ง และหากต้องการข้อมูลเป็นไฟล์ digital จะต้องส่ง flash drive ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งในการส่งข้อมูลทางไปรษณีย์นี้ จะมีค่าใช้จ่ายในการให้บริการ ค่าซอง ค่าส่งไปรษณีย์ด้วย
หากเป็นโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมก่อนปี 2558 สามารถยื่นขออนุญาตใช้เครื่องจักรเก่าเกิน 10 ปี เพื่อให้กรรมการพิจารณาได้ หากได้รับอนุมัติ จะต้องทำใบรับรองประสิทธิภาพเครื่องจักรเก่า และต้องชำระภาษีอากรเครื่องจักร
ค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน ไม่นับเป็นขนาดการลงทุนของโครงการ ตารางที่ 5.3 ให้กรอกเฉพาะการลงทุนส่วนที่นับเป็นขนาดการลงทุนตามประกาศ BOI ป.1/2545 เท่านั้น
ขอตอบตามความเห็นของ admin ดังนี้
1.การอนุมัติกรรมวิธีการผลิตให้มีขั้นตอนการนำเครื่องจักร/แม่พิมพ์และวัตถุดิบไปว่าจ้างผลิตชิ้นส่วน เนื่องจาก
1.1 เพื่อให้สามารถอนุมัติบัญชีรายการเครื่องจักรและวัตถุดิบ เพื่อให้บริษัทสามารถนำเครื่องจักร/แม่พิมพ์และวัตถุดิบเข้ามาได้โดยยกเว้นภาษีอากร
1.2 เพื่อให้สามารถนำมูลค่าการลงทุนเครื่องจักร/แม่พิมพ์ที่นำไปจ้างผลิตในประเทศ มานับเป็นขนาดการลงทุนของโครงการ เพื่อกำหนดวงเงินสูงสุดในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.กรณีที่บริษัทนำเข้าเครื่องจักร/แม่พิมพ์และวัตถุดิบเข้ามาโดยใช้สิทธิ จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ BOI กำหนด
3.ในอดีต เป็นที่ทราบว่า บริษัทจะต้องขออนุญาตต่อ BOI ก่อนนำเครื่องจักร/แม่พิมพ์ และวัตถุดิบไปว่าจ้างผลิต
4.ปัจจุบัน ทราบว่า BOI มีแนวทางปฏิบัติคือ กรณีที่บริษัทได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมโดยมีขั้นตอนการนำแม่พิมพ์ไปว่าจ้างผลิตชิ้นส่วน บริษัทไม่ต้องยื่นขออนุญาต BOI ก่อนนำแม่พิมพ์ไปว่าจ้างผลิต
เครื่องจักรให้กรอกข้อมูลรวมกัน ไม่ว่าจะใช้สิทธิยกเว้นภาษี หรือไม่ได้ใช้สิทธิก็ตาม วัตถุดิบก็เช่นกัน ให้รวมทั้งกรณีใช้สิทธิและไม่ใช้สิทธิ
กรณีมีเหตุผลและความจำเป็น จะอนุมัติให้ขยายเวลาการส่งเอกสารประกอบการออกบัตรส่งเสริมให้ ไม่เกิน 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 4 เดือน ดำเนินการผ่านระบบงานบัตรส่งเสริม (Promotion Certificate System) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
กรณีที่สอบถาม กำลังผลิตที่ตรวจสอบพบ เท่าที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม ดังนั้น การเปิดดำเนินการ จึงจะปรับมูลค่าการลงทุนให้เป็นไปตามจริง คือ 200 ล้านบาท
หากการได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเภทกิจการ “IHQ และ ITC” ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจของโครงการ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาขอรับการส่งเสริมการลงทุน “IBC” แต่หากประสงค์จะเปลี่ยนเป็นกิจการ IBC จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของกิจการ IBC
Commercial Distribution แบบ Out-Out ดังกล่าวอยู่ในขอบข่ายกิจการ ITC ที่บริษัทได้รับการ ส่งเสริมอยู่ ปัจจุบันหลังจากที่กระทรวงการคลังปรับนโยบายเป็นให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการ IBC และยุติ การอนุมัติให้เป็น IHQ หรือ ITC รายได้ดังกล่าวไม่สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง จึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ
โครงการที่ได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการ โดยนำมูลค่าเครื่องจักรทั้งที่ซื้อในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ มานับรวมเป็นขนาดการลงทุน เพื่อกำหนดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ไปแล้วนั้น สามารถจำหน่ายเครื่องจักรได้ โดย
เครื่องจักรที่นำเข้าโดยยกเว้นภาษีอากรตามมาตรา 28 หรือ 29 จะต้องขออนุญาตก่อน
ครื่องจักรที่ซื้อในประเทศ และเครื่องจักรที่นำเข้าโดยชำระภาษี ไม่ต้องขออนุญาต แต่ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวยังคงมีขั้นตอนการผลิตครบถ้วน และกำลังการผลิตต้องไม่ลดลงเกินกว่า 20% เว้นแต่จะมีการซื้อ เครื่องจักรมาทดแทน หรือต้องขอแก้ไขโครงการเพื่อลดขนาดโครงการ
วงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้กำหนดไปในขั้นตอนการเปิดดำเนินการไปแล้วนั้น จะยังคงใช้วงเงินเดิม โดยไม่เปลี่ยนแปลง
การขอรับบัตรส่งเสริม กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ต้องไปรับด้วยตนเอง โดยใช้เอกสารตามข้อ 2 และ 3 หรือหากจะให้ผู้อื่นไปรับแทน ต้องใช้เอกสารดังนี้
1. หนังสือมอบอำนาจให้เป็นผู้ขอรับบัตรส่งเสริม ติดอากรแสตมป์ 10 บาท
2. หนังสือรับรองบริษัท (ไม่เกิน 6 เดือน)
3. สำเนาบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มอบอำนาจ
4. สำเนาบัตรประชานของผู้รับมอบอำนาจ
ให้ส่งอีเมล์แจ้งเจ้าหน้าที่สำนักสารสนเทศ ฝ่ายเทคนิค ที่ดูแลระบบงานตรวจสอบออนไลน์ ตามรายชื่อด้านท้ายสุดใน คู่มือการใช้งาน ตส.310 โดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น ชื่อบริษัท เลขที่วันที่บัตรส่งเสริม และรายละเอียดที่ต้องการขอแก้ไข จากนั้น เจ้าหน้าที่จะแก้ไขข้อมูลในระบบให้
การกำหนดกำหนดการผลิตของโครงการ ปกติจะดูจากกำลังการผลิตของเครื่องจักรในขั้นตอนที่น่าจะเป็นคอขวด (Bottle Neck) ตามตัวอย่างที่สอบถาม ปกติก็ควรเป็นขั้นตอนที่ 1 ฉีดพลาสติก คือกำหนดตามกำลังผลิตของเครื่องฉีดพลาสติก ส่วนขั้นตอนที่ 3 และ 4 ถ้าใช้แรงคนเป็นหลัก ปกติจะไม่นับเป็นขั้นตอนที่กำหนดกำลังผลิต เพราะถ้ารับพนักงานเพิ่ม ก็สามารถผลิตเพิ่มได้
หากเป็นโครงการที่ยื่นคำขอรับส่งเสริมภายในปี 2557 จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรเก่า แต่หากเป็นโครงการที่ยื่นคำขอตั้งแต่ปี 2558 จะไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรเก่า
ใบรับรองประสิทธิภาพเครื่องจักรเก่า หากมีแสดงในขณะที่ยื่นขออนุมัติบัญชีเครื่องจักร ก็จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้า (กรณีเป็นโครงการที่ขอรับส่งเสริมภายในปี 57) แต่หากยังไม่มีในวันที่ยื่นขออนุมัติบัญชีเครื่องจักร ก็จะไม่ได้รับอนุมัติบัญชีเครื่องจักรเก่าจึงต้องชำระอากรขาเข้าไปก่อน จากนั้นจึงทำใบรับรองประสิทธิภาพ แล้วจึงขอเพิ่มรายการในบัญชี และสั่งปล่อยขอคืนอากรในภายหลัง
เมื่อผู้ได้รับส่งเสริมโอนหรือขายกิจการที่ได้รับส่งเสริมให้กับผู้อื่น บัตรส่งเสริมฉบับนั้นจะใช้ต่อไปได้อีกไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันที่โอนหรือขายกิจการ
ในกรณีที่ผู้รับโอนกิจการ ประสงค์จะรับช่วงดำเนินการที่ได้รับส่งเสริมตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริม ผู้รับโอนกิจการจะต้องยื่นคำขอรับการส่งเสริมเพื่อขอรับโอนกิจการดังกล่าว โดยคณะกรรมการจะพิจารณาให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าที่ยังเหลืออยู่เดิม
ขั้นตอนการโอน - รับโอนกิจการ
การโอน - รับโอนกิจการมีขั้นตอน และแนวทางพิจารณา ดังนี้
1. ผู้รับโอนกิจการจะต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมเพื่อรับโอนกิจการ (เอกสารหมายเลข F PA PC 17) โดยคำขอดังกล่าวต้องมีเอกสารแสดงเจตจำนงของผู้โอน และคำขอรับการส่งเสริมของผู้รับโอน โดยยื่นเรื่องเข้ามาพร้อมกัน
2. การยื่นคำขอรับโอนกิจการ ควรยื่นก่อนที่จะทำการโอน-รับโอนกิจการ เนื่องจากหากมีการโอนกิจการไปแล้วก่อนยื่นคำขอรับโอนกิจการ บัตรส่งเสริมฉบับเดิมจะสิ้นสุดภายใน 3 เดือนนับจากวันที่โอนกิจการ ซึ่งอาจทำให้บัตรส่งเสริมเดิมสิ้นสุดอายุไปก่อนก็ได้
3. กรณีที่อนุมัติให้โอนกิจการ ผู้ที่รับโอนกิจการจะได้รับสิทธิประโยชน์เท่าที่เหลืออยู่ตามโครงการเดิม และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดอยู่เดิม
4. ภายหลังจากรับโอนกิจการไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่ามีการปฏิบัติผิดเงื่อนไขซึ่งจะต้องเพิกถอนสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ว่าการปฏิบัติผิดเงื่อนไขนั้น จะก่อนหรือหลังการรับโอนกิจการก็ตาม ผู้รับโอนกิจการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางด้านภาษีอากรทั้งหมด
5. การโอน - รับโอนกิจการจะโอนทั้งบัตรส่งเสริม หรือโอนเฉพาะบางส่วนของบัตรส่งเสริมก็ได้ เช่น โครงการที่ได้รับส่งเสริมผลิตสินค้า A และ B อาจขอโอนโครงการเฉพาะผลิตภัณฑ์ B ให้กับผู้รับโอนก็ได้ โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป
ข้อควรระวังในการรับโอนกิจการ
1. เนื่องจากผู้รับโอนกิจการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาระภาษีทั้งหมดหากมีการปฏิบัติผิดเงื่อนไขในบัตรส่งเสริม ไม่ว่าความผิดนั้นจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการรับโอนกิจการ ดังนั้น ผู้รับโอนกิจการจึงควรตรวจสอบสถานะของโครงการที่จะรับโอนอย่างละเอียดรอบคอบก่อนการรับโอนโครงการ
2. กรณีที่ผู้รับโอนกิจการขอรับโอนวัตถุดิบที่ใช้สิทธิยกเว้นอากรขาเข้าเพียงบางส่วนจากผู้รับโอนหรือไม่รับโอน ซึ่งจะทำให้ปริมาณวัตถุดิบคงเหลืออยู่ที่ผู้โอนกิจการ ผู้ที่จะโอนกิจการจะต้องดำเนินการจัดการปริมาณวัตถุดิบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานก่อนยื่นเรื่องขอโดนกิจการ
ตัวอย่าง
บริษัท A จะรับโอนกิจการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากบริษัท B โดยบริษัท A ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัท B แล้ว ตกลงจะซื้อทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยเครื่องจักร 10 เครื่อง และวัตถุดิบ (ผ้า) ทั้งหมดในบัญชีทรัพย์สินจำนวน 100,000 ตารางหลา
แต่หากหลักฐานทางบัญชีเครื่องจักรและวัตถุดิบของ BOI ปรากฏว่า บริษัท B นำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศโดยใช้สิทธิยกเว้นอากรขาเข้ารวมทั้งสิ้น 12 เครื่อง และนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศซึ่งยังไม่ได้นำหลักฐานการส่งออกมาตัดบัญชี จำนวน 250,000 ตารางหลา BOI ก็จะพิจารณาว่า บริษัท A ได้รับโอนเครื่องจักรและวัตถุดิบตามบัญชีทั้งหมดจากบริษัท B แล้ว และต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาระภาษีของเครื่องจักรและวัตถุดิบดังกล่าว
หากปรากฏหลักฐานในภายหลังว่า โครงการนี้มีการนำเครื่องจักร 2 เครื่องไปจำหน่ายในประเทศ และนำวัตถุดิบจำนวน 150,000 ตารางหลา ไปผลิตเป็นสินค้าจำหน่ายในประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ BOI จะพิจารณาว่า ผู้ได้รับส่งเสริมในปัจจุบัน (บริษัท A) จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาระภาษีอากรของเครื่องจักรและวัตถุดิบดังกล่าว ไม่ว่าการกระทำผิดเงื่อนไขนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม
ในกรณีดังกล่าวนี้ BOI จะแจ้งให้กรมศุลกากรดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากบริษัท A ในฐานะผู้รับโอนกิจการต่อไป
1. รายชื่อบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ตรวจสอบส่วนสูญเสียจาก BOI ค้นหาได้จากประกาศ BOI โดยพิมพ์คำว่า ตรวจสอบ ในช่องคำค้นหา และเลือกหมวดหมู่เป็น วัตถุดิบ
2. เมื่อได้รับอนุญาตจาก BOI ให้ชำระภาษี ต้องไปชำระภาษีต่อกรมศุลกากร โดยกรมศุลฯ จะเป็นผู้ประเมินพิกัด ตามสภาพเศษซากนั้นๆ หรือจะสอบถามกับ บ.ชิปปิ้ง ก็น่าจะทราบอัตราภาษีของเศษซาก
1. กรณีชำระภาษีในรูปวัตถุดิบ
ต้องชำระภาษีอากรตามสภาพ ณ วันนำเข้า และเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ดังนี้
อากรขาเข้า
VAT
เบี้ยปรับ VAT 1 เท่า เงินเพิ่ม VAT ร้อยละ 1.5 ต่อเดือน นับจากวันยื่นใบขนขาเข้า จนถึงวันชำระ
2. กรณีชำระภาษีตามสภาพสินค้าสำเร็จรูป
ต้องเป็นกิจการผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) คำนวณภาษีตามราคาสินค้าหน้าโรงงาน ตามสภาพและอัตราภาษีอากร ณ วันที่ขอจำหน่าย ไม่มีเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม