การสั่งปล่อยวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ตามมาตรา 36 มี 3 กรณี คือ
1. การสั่งปล่อยปกติ
คือ
การอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริมนำวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นเข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับยกเว้นอากรขาเข้า
1.1 กรณีของที่นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบ จะใช้หนังสืออนุมัติสั่งปล่อยนั้นเป็นหนังสือค้ำประกันและถอนประกันภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 จึงทำให้บริษัทไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของวัตถุดิบรายการนั้น
1.2
กรณีของที่นำเข้ามาเป็นวัสดุจำเป็น
จะได้รับยกเว้นเฉพาะอากรขาเข้า แต่จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามปกติ
2. การสั่งปล่อยถอนการใช้ธนาคารค้ำประกัน
คือ การอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริม ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่เคยใช้ธนาคารค้ำประกันภาษีอากรไว้
พร้อมกับถอนการใช้ธนาคารค้ำประกัน
และใช้หนังสืออนุมัตินั้นเป็นหนังสือค้ำประกันและถอนประกันภาษีมูลค่าเพิ่มของวัตถุดิบ
จึงทำให้บริษัทไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของวัตถุดิบรายการนั้น
3. การสั่งปล่อยคืนอากร
คือ
การอนุมัติให้ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับคืนอากรขาเข้าของวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ได้ชำระไปก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ทั้งนี้ จะไม่ได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เนื่องจากเข้าสู่ระบบภาษีซื้อภาษีขายไปแล้ว
กรอกคำขอรับการส่งเสริม โดยจะกรอกเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ และแนบเอกสารตามที่สำนักงานกำหนดผ่านระบบ e-Investment Promotion ผ่านลิงก์ https://www.boi.go.th/un/boi_online_services_form
1. ชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏในบัตรส่งเสริมการลงทุน
2. กำลังการผลิตตามบัตรส่งเสริม
3.
จำนวนรายการวัตถุดิบที่ใช้ในโครงการ
4. ข้อมูลการผลิตผลิตภัณฑ์
1 ชิ้น ใช้วัตถุดิบกี่รายการ
แต่ละรายการมีปริมาณเท่าใด มีส่วนสูญเสียหรือไม่
เมื่อทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว
สามารถนำข้อมูลไปกรอกในแบบฟอร์มจะได้ปริมาณสต๊อคที่ต้องใช้
หากบริษัทมีผลิตภัณฑ์ชนิดเดียว ใช้วัตถุดิบเหมือนกันทุกรุ่น (Model) ก็สามารถคำนวณปริมาณสต๊อคได้ไม่ยาก แต่หากบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลายรุ่น
และแต่ละรุ่นใช้รายการวัตถุดิบต่างกัน บริษัทจะต้องแยกให้ได้ว่าแต่ละรุ่นใช้วัตถุดิบปริมาณเท่าใด
และเมื่อเอาปริมาณวัตถุดิบของทุกรุ่นมารวมกัน ก็จะได้ปริมาณสต็อคสูงสุด
การใช้สิทธิและประโยช์ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบ
เมื่อรวมกันทุกรุ่นแล้วปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ต้องไม่เกินปริมาณสต๊อคสูงสุด (Max
Stock) ที่บริษัทได้รับ
ท่านต้องสมัครสมาชิกของระบบ e-Investment Promotion เพื่อให้ได้รับ username และ password ผ่านทาง www.boi.go.th ตามประกาศ ป.9/2567 และ ป.10/2567
ขอแก้คำถามใหม่
A (BOI) ซื้อวัตถุดิบ X จาก B (IPO) จากนั้นผลิตเป็นชิ้นส่วน Y และขายให้ B (IPO) เพื่อส่งออก เมื่อ B ส่งออก ก็จะโอนสิทธิ์ตัดบัญชี Y ให้ A และต้องการให้ A ตัดบัญชีเพื่อโอนสิทธิวัตถุดิบ X กลับไปให้ B แต่ A ทำไม่ได้ เพราะการผลิตชิ้นส่วน Y ไม่ตรงกับกรรมวิธีที่ได้รับส่งเสริม
A อาจจะทำผิดหลายเรื่อง เช่น
- นำเครื่องจักรที่ใช้สิทธิ BOI ไปผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับส่งเสริมหรือเปล่า
- นำรายได้จากการผลิตสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามกรรมวิธี ไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้หรือเปล่า ฯลฯ แต่ถ้า A ไม่ได้ทำผิด คือสินค้า Y ที่ผลิตนั้นเป็นกิจการส่วนที่เป็น non-BOI คือไม่ได้ใช้สิทธิใดๆจาก BOI เลย B ก็อาจจะเป็นฝ่ายผิด คือจำหน่ายวัตถุดิบ X (ซึ่งใช้สิทธิ BOI) ไปจำหน่ายให้กับกิจการที่ไม่มีสิทธิตามมาตรา 36 ซึ่งเข้าข่ายการจำหน่ายในประเทศ
คำแนะนำคือ A แก้ไขกรรมวิธีผลิตให้ถูกต้อง เพื่อที่จะสามารถขออนุมัติสูตรและ max stock จากนั้นจะได้ตัดบัญชีเพื่อโอนสิทธิไปให้ B
บัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนทั่วไปแบ่งออกเป็น
8 หมวดได้แก่
หมวด
1 เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร
หมวด
2 แร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นมูลฐาน
หมวด
3 อุตสาหกรรมเบา
หมวด
4 ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง
หมวด
5 อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
หมวด
6 เคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ
หมวด
7 กิจการบริการและสาธารณูปโภค
หมวด 8 การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สามารถดูรายละเอียดของกิจการทั้ง 8 หมวดได้ที่นี่
หากเป็นการก่อสร้างที่เป็นส่วนสนับสนุนการดำเนินการ
เช่น โกดังสินค้า หรือปรับปรุงอาคารการผลิต เป็นต้น
ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่ได้เป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงประสิทธิภาพและกำลังการผลิตให้ดีขึ้นโดยตรง
จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะขอรับการส่งเสริม
แต่หากเป็นการก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารส่วนการผลิตที่รองรับมาตรฐานการผลิตตามมาตรฐาน GMP หรือ GMP/PICS ก็จะอยู่ในข่ายขอรับการส่งเสริมได้ ยกเว้นบริษัทใดได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP หรือ GMP/PICS ไปแล้ว และมีการลงทุนในระบบเพิ่มเติม เช่น ระบบแอร์ ระบบกำจัดฝุ่น เป็นต้น ก็ไม่อยู๋ในข่ายที่จะรับการส่งเสริมได้
เนื่องจากการออกหนังสือติดตามเป็นการออกอัตโนมัติจากระบบฯ รวมถึงช่วงเวลาที่บริษัทกดส่งข้อมูลนั้น ระบบฯ อาจออกหนังสือไปก่อนหน้าแล้ว ทำให้บริษัทยังได้รับหนังสือติดตาม ดังนั้น หากระบบฯ ขึ้นว่าได้ส่งข้อมูลแล้ว บริษัทไม่ต้องดำเนินการอะไรหรือทำหนังสือแจ้งเข้ามายังสำนักงานแต่อย่างใด
ให้กรอกข้อมูลโดยใช้งบการเงินเฉพาะกิจการ
เบื้องต้นให้กรอกข้อมูลเป็นในประเทศคิดเป็นร้อยละ 100
เบื้องต้นโปรดตรวจสอบและแก้ไขให้ (A) จำนวนการจ้างงานคนไทยในส่วนบนต้องเท่ากับ (B) ผลรวมจำนวนการจ้างงานคนไทยที่แยกระดับการศึกษาสูงสุดในส่วนล่าง หรือ (A) = (B) ตามรูปด้านล่าง
![]() |
เครื่องจักรของโครงการที่อยู่ในประเภทกิจการที่ให้บริการ ให้หมายถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ เป็นหลักในการให้บริการ หากไม่มีจะไม่สามารถให้บริการตามโครงการได้ เช่น คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ให้บริการต่างๆ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ให้บริการวิจัยและพัฒนา เครื่องบินและเรือที่ใช้ให้บริการขนส่ง เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถดูรายการเครื่องจักรที่แสดงในแบบคำขอรับการส่งเสริมที่เคยยื่นไว้เป็น แนวทางพิจารณาขอบข่ายเครื่องจักรของโครงการได้
สามารถซ่อมในประเทศได้ โดยยื่นคำร้องขออนุญาตนำเครื่องจักรไปเก็บนอกสถานที่และให้ชี้แจงเหตุผลว่าเป็นการขอนำไปซ่อม แบบคำร้องดังกล่าวไม่มีให้ download จึงจะต้องไปขอตัวอย่างจากสำนักบริหารการลงทุนที่ 1-4 และจากนั้นยื่นที่สำนักฯ ที่เกี่ยวข้องนั้นๆ
เครื่องจักรที่เคยใช้ในโครงการ 1 ไม่สามารถนำไปใช้ในโครงการ 2 ได้ เพราะถือเป็นการนำเครื่องจักรนั้นไปใช้สิทธิซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในโครงการอื่น หากไม่ต้องการใช้เครื่องจักรดังกล่าวในโครงการ 1 สามารถดำเนินการได้ วิธี คือ
1.ขอส่งคืนไปต่างประเทศ
2.ขอจำหน่ายในประเทศ ซึ่งกรณีนี้นำเข้ามาเกินกว่า 5 ปีแล้ว BOI จึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้โดยไม่มีภาระภาษี
แต่เนื่องจากเครื่องจักรดังกล่าวเป็นเครื่องจักรหลักของโครงการ 1 จึงอาจต้องขอลดกำลังผลิตหรือลดขั้นตอนการผลิตของโครงการ 1 ด้วย
การตรวจสอบเปิดดำเนินการ ปกติใช้เวลา 1/2 - 1 วัน วิธีการตรวจสอบอาจแตกต่างกันตามประเภทกิจการ และวิธีการของเจ้าหน้าที่แต่ละคน แต่ปกติจะตรวจสอบการติดตั้งเครื่องจักร กำลังการผลิต และอาจสุ่มตรวจเอกสารทางบัญชี เป็นต้น การเปิดดำเนินการกำหนดระยะเวลาพิจารณา 45 วันทำการ
กรณีจะยกเลิกบัตรส่งเสริม โดยที่ไม่เคยใช้สิทธิประโยชน์ใดๆเลย ให้ยื่นหนังสือขอยกเลิกบัตรส่งเสริม (ร่างขึ้นได้เอง ไม่มีตัวอย่าง) โดยอาจระบุเหตุผล และระบุข้อความยืนยันการไม่เคยใช้สิทธิประโยชน์ใดๆตามโครงการดังกล่าวไปด้วย หาก BOI ตรวจสอบว่าไม่เคยมีการใช้สิทธิใดๆ ก็จะยกเลิกบัตรส่งเสริมให้โดยไม่มีภาระภาษี
ตามประกาศ ป.3/2259 สามารถยื่นคำขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในรูปแบบเดิม (กระดาษ) ได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 แต่เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการยกเลิกคำขอที่เป็นกระดาษ BOI จึงขอความร่วมมือให้ผู้ได้รับส่งเสริมยื่นคำขอใช้สิทธิผ่านระบบ e-Tax ตั้งแต่ปีนี้
หากการได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเภทกิจการ “IHQ และ ITC” ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจของโครงการ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมาขอรับการส่งเสริมการลงทุน “IBC” แต่หากประสงค์จะเปลี่ยนเป็นกิจการ IBC จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของกิจการ IBC