การยื่นคำขอรับการส่งเสริมในนามบุคคล ผู้ที่มีสิทธิลงนามตอบรับมติให้การส่งเสริม จึงต้องเป็นผู้ขอรับการส่งเสริมเท่านั้น ดังนั้น แม้จะจัดตั้งบริษัทเสร็จก่อนตอบรับมติ กรรมการบริษัทก็ไม่สามารถลงนามตอบรับมติได้
แบบคำขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ข้อ 1.4 ช่องที่ 5 ให้ระบุปริมาณการจำหน่ายตามจริง ซึ่งอาจจะเกินกำลังผลิตในบัตรส่งเสริมก็ได้ แต่ช่องที่ 6 ปริมาณที่ขอใช้สิทธิ จะต้องไม่เกินกว่ากำลังผลิตในบัตรส่งเสริม และไม่เกินกว่ากำลังผลิตของเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้ว
ข้อ 1.3 ต้องเป็นเครื่องจักรที่ซื้อมาหลังจากวันที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเท่านั้น หากบริษัทซื้อเครื่องจักรมาก่อนหน้าที่จะยื่นคำขอ จะต้องอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจนในขั้นชี้แจงโครงการ โดย BOI จะพิจารณาเหตุผลเป็นกรณีๆไป และอาจอนุญาตให้นับเครื่องจักรนั้นเป็นขนาดการลงทุนของโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมได้ โดยจะระบุการอนุญาตให้ใช้เครื่องจักรที่ซื้อมาก่อนยื่นคำขอฯไว้ในบัตรส่งเสริมโดยชัดเจน กรณีที่สอบถาม จะขอย้อนกลับไปถึงปี 2554 ซึ่งน่าจะเป็นวันก่อนยื่นคำขอรับส่งเสริมตามนโยบายฟื้นฟูอุทกภัย จึงไม่สามารถทำได้ ให้ใส่เฉพาะเครื่องจักรและการซ่อมแซม ที่เกิดหลังจากวันที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมเท่านั้น เว้นแต่ในบัตรส่งเสริมจะระบุไว้เป็นอย่างอื่น จึงจะสามารถรวมค่าเครื่องจักรก่อนนั้นได้
กรณีที่ได้รับส่งเสริมในนามบุคคล ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม จะต้องเป็นผู้ลงนามในแบบขอรับบัตรส่งเสริมและเอกสารแนบทั้งหมด โดยในครั้งนี้ จะต้องแนบหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทที่ต้องการจะให้ BOI ออกบัตรส่งเสริมมาด้วย แต่เมื่อ BOI ออกบัตรส่งเสริม ผู้ที่จะมารับบัตร จะต้องเป็นกรรมการคนใดคนหนึ่งของบริษัท
หลักเกณฑ์การนับวันในบัตรส่งเสริมของ BOI ใช้แนวทางดังนี้ กรณีเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์
- นับวันชนวัน
- เช่น ถ้าได้รับสิทธิ 2 ปีนับจากวันออกบัตร และบัตรออกวันที่ 1 ก.ค. 57 ก็จะได้รับสิทธิถึงวันที่ 30 มิ.ย. 59
กรณีเกี่ยวกับเงื่อนไข
- นับวันทับวัน
- เช่น ถ้ามีเงื่อนไขต้องปฏิบัติภายใน 2 ปีนับจากวันออกบัตร และบัตรออกวันที่ 1 ก.ค. 57 ก็จะต้องปฏิบัติให้ได้ภายในวันที่ 1 ก.ค. 59 กรณีที่สอบถาม เป็นเงื่อนไข จึงจะครบ 1 ปี ในวันที่ 27 กันยายน 2557
โดยปกติหลังจากที่ได้รับการส่งเสริมแล้ว ทางผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องยื่นแบบขอเปิดดำเนินการเต็มโครงการภายใน 36 เดือนนับแต่วันที่ได้รับบัตรส่งเสริม ในกรณีที่ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามกำหนด สามารถขอขยายระยะเวลาในการเปิดดำเนินการได้ 1 ครั้ง ขยายไปอีก 1 ปี ในกรณีหากยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ อาจจะถูกพิจารณาเพิกถอนบัตรและสิทธิประโยชน์ทั้งหมด เสมือนไม่เคยได้รับการส่งเสริมตั้งแต่ต้น
1. การผลิตสินค้าตามโครงการที่ 1 และนำไปจำหน่ายเป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบของโครงการที่ 2 ภายใต้นิติบุคคลเดียวกัน สามารถทำได้ โดยในทางบัญชี จะต้องจัดทำเป็นรูปการซื้อขายภายในบริษัท ตามที่กรมสรรพากรกำหนด เช่น มีการออกอินวอยซ์ และซื้อขายในราคาต้นทุน เป็นต้น
2. ในส่วนของ BOI ไม่ต้องยื่นขออนุญาตซื้อขายระหว่าง 2 โครงการภายใต้นิติบุคคลเดียวกัน แต่หากโครงการที่ 1 นำเข้าวัตถุดิบโดยใช้สิทธิมาตรา 36 เมื่อจำหน่ายให้กับโครงการที่ 2 จะต้องนำไปผลิตส่งออก จากนั้นโครงการที่ 2 ยื่นตัดบัญชีวัตถุดิบ และโอนสิทธิให้โครงการที่ 1 เพื่อนำไปตัดบัญชีต่อไป
การจะจำหน่ายเครื่องจักรที่นำเข้ามาโดยใช้สิทธิยกเว้นภาษีจะต้องได้รับอนุญาตก่อน หากเป็นเครื่องจักรที่นำเข้ามาแล้วเกิน 5 ปี ให้ยื่นเรื่องขอจำหน่ายพร้อมกับขอตัดบัญชีเพื่อปลอดภาระภาษี ซึ่งเมื่อได้รับอนุญาตจะสามารถจำหน่ายได้โดยไม่มีภาระภาษีอากร แต่หากเป็นเครื่องจักรนั้น เป็นเครื่องจักรหลักที่กระทบต่อกรรมวิธีการผลิตหรือกำลังผลิตเกิน 20% จะต้องมีการซื้อเครื่องจักรมาแทน หรือต้องแก้ไขโครงการให้สอดคล้องกรรมวิธีผลิตหรือกำลังผลิตที่หายไปด้วย
การจะจำหน่ายเครื่องจักรเกิน 5 ปี โดยไม่มีภาระภาษี ต้องยื่นขอตัดบัญชีเพื่อตัดภาระภาษีก่อน การอนุญาตให้ตัดบัญชีเพื่อตัดภาระภาษี จะต้องเป็นกรณีที่บริษัทปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่ได้รับส่งเสริมเท่านั้น เช่น หากบริษัทครบกำหนดเปิดดำเนินการแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นขออนุมัติเปิดดำเนินการ จะไม่อนุญาตให้ตัดบัญชีเครื่องจักรแม้จะนำเข้าเกิน 5 ปี แต่หากบริษัทยังไม่ครบกำหนดเปิดดำเนินการ ก็สามารถขอตัดบัญชีเครื่องจักรเกิน 5 ปีได้ แม้จะยังไม่ได้เปิดดำเนินการครบตามโครงการ
1.วันที่จะเริ่มใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 31 คือวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม
กรณีที่สอบถาม การนำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในประเทศ ไม่ใช่กิจการที่บริษัทได้รับการส่งเสริมการลงทุน จึงไม่ถือเป็นวันเริ่มมีรายได้ครั้งแรกตามมาตรา 31
2. นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในลักษณะค้าส่ง/ค้าปลีก เป็นกิจการในบัญชีสามท้าย พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
หากบริษัทเป็นนิติบุคคลต่างชาติ จะต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ด้วย
การขออนุมัติปริมาณสต็อกสินค้าที่นำกลับเข้ามาซ่อม ใช้แบบฟอร์มเดียวกับการขอแก้ไขสต็อกวัตถุดิบตามปกติ โดย group no. ให้กำหนดเป็น R00001
A คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น 72 ล้านบาท B คือ หนี้สินปัจจุบัน 235 ล้านบาท C คือ เงินลงทุนของโครงการใหม่ 149 ล้านบาท
ถ้าจะไม่เพิ่มทุน C จะเป็นเงินกู้ทั้งหมด
อัตราส่วนหนี้สิน : ส่วนผู้ถือหุ้น (รวมโครงการเดิม)
จะเป็น (B+C) : A = 5.33 : 1 ซึ่งเกิน 3:1
ดังนั้น บริษัทจึงต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกส่วนหนึ่ง คือ C1 และกู้เงินอีกส่วนหนึ่ง คือ C2 โดย C1 + C2 = 149 ล้านบาท ซึ่งถ้า (B+C2) : (A+C1) ไม่เกิน 3 : 1 ก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะอนุมัติได้
แม้จะมีการขยายเวลานำเข้าเครื่องจักรย้อนหลังไปจนถึงวันที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริม แต่ระยะเวลาการเปิดดำเนินการก็ยังคงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมเหมือนเดิม ไม่ถูกร่นให้เร็วขึ้น
- ตอบรับมติการอนุมัติให้การส่งเสริม
- ขอรับบัตรส่งเสริม
- ขออนุมัติตำแหน่งช่างฝีมือต่างชาติ
- ขอใบอนุญาตทำงานของช่างต่างชาติ
- ขออนุมัติบัญชีเครื่องจักร (Master List)
- นำเข้าเครื่องจักร
- ขออนุมัติบัญชีรายการสต็อกวัตถุดิบ (Max Stock)
- นำเข้าวัตถุดิบ
- ขออนุมัติสูตรการผลิต / ส่งออก / ตัดบัญชี ฯลฯ บางบริษัทฯ อาจมีขั้นตอนมากกว่านี้บ้าง น้อยกว่านี้บ้าง หรืออาจสลับขั้นตอนก่อนหลังบ้าง เป็นกรณีๆไป
2. เงื่อนไข หลักเกณฑ์ กฎระเบียบต่างๆ สามารถศึกษาจากเว็บไซต์ของ BOI และ IC แต่บางกรณีอาจจำเป็นต้องเข้าฝึกอบรมตามหลักสูตรต่างๆ ที่จัดขึ้นโดย BOI และ IC เมื่อมีความรู้เบื้องต้นในระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถปรึกษาเพิ่มเติมจาก จนท ของ BOI และ IC เป็นกรณีๆ ไป
กรณีบัตรส่งเสริมระบุชนิดผลิตภัณฑ์เป็น STEM PART FOR DIODE บริษัทจะผลิต STEM PART สำหรับ DIODE ชนิดใดก็ได้ แต่ต้องมีกรรมวิธีการผลิตที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม จึงไม่ต้องแก้ไขชื่อผลิตภัณฑ์ในบัตรส่งเสริม
1. การตรวจสอบวันที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริม ให้ตรวจสอบจากหนังสือแจ้งมติให้การส่งเสริม ซึ่งจะมีการระบุเลขที่และวันที่ของคำขอรับการส่งเสริม
2. การนับขนาดการลงทุน สามารถนับตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริม ดังนั้น หากมีค่าใช้จ่ายการลงทุนเกิดขึ้นระหว่างวันที่ยื่นคำขอจนถึงวันที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริม ก็ควรนับมูลค่าการลงทุนในส่วนนั้นด้วย เพื่อให้สามารถคำนวณได้วงเงินสูงสุดที่พึงได้
ช่อง 1.3 (2) คือ เครื่องจักรที่ซื้อมาใช้ในโครงการนั้นๆ ส่วน 1.3 (3) คือ สินทรัพย์อื่นๆ เช่น ค่าก่อสร้าง ยานพาหนะ และอุปกรณ์สำนักงาน เป็นต้น จึงเป็นค่าใช้จ่ายคนละรายการกัน หากจะยื่นขอใช้สิทธิตามบัตรโยกย้ายสถานประกอบการ ไม่น่าจะนับค่าเครื่องจักรเป็นขนาดการลงทุนได้ เนื่องจากโครงการโยกย้าย ไม่ครอบคลุมถึงการปรับปรุงเครื่องจักรเก่าหรือซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มเติม