บริษัทได้รับบัตรส่งเสริมในปี 2556 ในกิจการ 5.5 กิจการผลิตชิ้นส่วนและ/หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือชิ้นส่วนและ/หรืออุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 7 ปี จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นดังนี้
1. บริษัทได้รับส่งเสริมตามหลักเกณฑ์ของ ประกาศ กกท ที่ 10/2552 ซึ่งยังไม่มีการกำหนดสิทธิประโยชน์เป็นกลุ่ม A1-A4, B1-B2
2. ได้รับสิทธิประโยชน์ ประกาศ กกท ที่ 4/2549 เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 7 ปี หากตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมในเขต 2
3. การกำหนดสิทธิประโยชน์เป็นกลุ่ม A1-A4, B1-B2 เป็นไปตาม ประกาศ กกท ที่ 2/2557 ซึ่งมีผลใช้บังคับกับโครงการที่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป
การหักค่าขนส่งเป็น 2 เท่า ตามมาตรา 35(2) จะต้องเป็นค่าขนส่งในประเทศเท่านั้น เช่น ค่าขนส่งสินค้า เครื่องจักร และวัตถุดิบ โดยไม่รวมถึงค่าขนส่งพนักงาน และจะหักได้เฉพาะส่วนที่เป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรงเท่านั้น ค่าขนส่งสินค้าไปว่าจ้างบริษัท A ให้ทำความสะอาด ก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า เป็นการขนส่งในประเทศที่เป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง จึงสามารถใช้สิทธิตามมาตรา 25(2) ได้ แต่บริษัทจะต้องได้รับอนุมัติกรรมวิธีการผลิตให้มีขั้นตอนการนำสินค้าไปว่าจ้างทำความสะอาดด้วย
ชาวต่างชาติระดับบริหาร ในบริษัทที่ได้รับส่งเสริมจาก BOI สามารถขอใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track Lane / Premium Lane) ที่สนามบิน ในการเดินทางเข้าออกประเทศได้ ข้อมูลเบื้องต้นตาม www.faq108.co.th/common/topic/premium_lane.php
1) ถ้าทั้งสองบัตร เคยยื่นแบบยืนยัน 6 เดือน 1 ปี และ 2 ปีไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องยื่นอีก แต่หากไม่ได้ยื่น และยังไม่ได้รับใบอนุญาตเปิดดำเนินการครบตามโครงการ ควรยื่นย้อนหลังให้ถูกต้องตามเงื่อนไขในบัตรส่งเสริม
2) รายงานฐานะการเงินและผลประกอบการ (ตส.310) จะเริ่มรายงานหลังจากได้รับใบอนุญาตเปิดดำเนินการครบตามโครงการ และต้องรายงานตลอดไป ตราบเท่าที่ยังมีสถานะเป็นผู้ได้รับส่งเสริม ไม่ว่าสิทธิทางภาษีอากรจะหมดสิ้นลงแล้วหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น บัตรที่ 1 ปี 2547 ยังมีหน้าที่ต้องรายงานฐานะการเงินและผลประกอบการตามแบบ ตส.310 ทุกรอบปี
บริษัท 1 บริษัท สามารถขอรับการส่งเสริมจาก BOI ได้หลายโครงการ โดยจะผลิตสินค้าชนิดเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ แต่มีเงื่อนไขคือ แต่ละโครงการจะต้องมีเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าเฉพาะของโครงการนั้นๆ เท่านั้น จะใช้เครื่องจักรร่วมกับโครงการอื่นไม่ได้ (เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก BOI) กรณีที่สอบถาม ให้ข้อมูลน้อยเกินกว่าจะตอบได้ว่า ควรยื่นขอเป็นโครงการใหม่ หรือขอแก้ไขโครงการเดิม
จึงขอตอบเฉพาะหลักเกณฑ์ดังนี้
1.กรณียื่นขอเป็นโครงการใหม่
- ต้องมีการลงทุนเครื่องจักรใหม่ครบสายการผลิต โดยไม่ใช้เครื่องจักรร่วมกับโครงการเดิม
- จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ ณ วันยื่นคำขอ
- ต้องแยกรายรับรายจ่ายของโครงการใหม่และโครงการเดิม และแยกใช้สิทธิประโยชน์ของโครงการใหม่และโครงการเดิม
2.กรณีแก้ไขโครงการเดิม
- โครงการเดิมต้องยังไม่เปิดดำเนินการเต็มโครงการ (ยกเว้นกิจการอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน)
- เพิ่มกำลังผลิตได้ไม่เกิน 30% ของบัตรฉบับแรก หากเกิน ต้องยื่นขอเป็นโครงการใหม่ (ยกเว้นกรณีสิทธิประโยชน์เดิมและใหม่ได้รับเท่ากัน)
- จะได้รับสิทธิประโยชน์เท่าที่เหลืออยู่ของโครงการเดิม
กรรมการเป็นผู้ลงนามและปรับตราในเอกสาร แต่จะให้ใครไปยื่นแทนก็ได้ ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจในการไปยื่นเรื่อง
ขนาดการลงทุนที่กำหนดในบัตรส่งเสริม นับจากเงินลงทุน โดยแยกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีโครงการริเริ่ม (ตั้งบริษัทใหม่ และประกอบกิจการภายใต้ชื่อบริษัทนี้เป็นครั้งแรก) เงินลงทุนประกอบด้วย
ค่าก่อสร้าง หรือค่าเช่าอาคารที่ทำสัญญาเช่ามากกว่า 3 ปี
ค่าเครื่องจักร ค่าติดตั้ง ค่าทดลองเครื่อง หรือค่าเช่าเครื่องจักรที่ทำสัญญาเช่ามากกว่า 1 ปี
ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการ หมายถึง ค่าจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่
ค่าทรัพย์สินอื่นๆ ได้แก่ ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ยานพาหนะ และค่าสัมปทาน ประทานบัตร
กรณีโครงการขยาย (เป็นบริษัทที่เคยประกอบกิจการมาแล้ว ไม่ว่ากิจการนั้นจะได้รับส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม) เงินลงทุนประกอบด้วย
ค่าก่อสร้าง หรือค่าเช่าอาคารที่ทำสัญญาเช่ามากกว่า 3 ปี
ค่าเครื่องจักร ค่าติดตั้ง ค่าทดลองเครื่อง หรือค่าเช่าเครื่องจักรที่ทำสัญญาเช่ามากกว่า 1 ปี
เงื่อนไขขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทนี้ จะต้องดำรงตลอดระยะเวลาที่ได้รับการส่งเสริม หากมีการขายเครื่องจักรหรือทรัพย์สินไปก่อนวันที่ BOI ตรวจเปิดดำเนินการ จะนำมูลค่าเครื่องจักรหรือทรัพย์สินนั้น มานับเป็นขนาดการลงทุนไม่ได้
อ่านเพิ่มเติม : คลิก
หากทั้ง 2 โครงการได้รับอนุมัติบัญชี Max Stock แล้ว และมีรายการวัตถุดิบเหมือนกันตั้งแต่ 1 รายการขึ้นไป สามารถขอรวมบัญชี Max Stock เข้าด้วยกันได้ แต่จะถูกปรับลดระยะเวลานำเข้าให้เหลือเท่ากับโครงการที่สั้นที่สุด และเมื่อจะขอขยายระยะเวลานำเข้าวัตถุดิบ จะต้องยื่นขอขยายพร้อมกันทั้ง 2 โครงการ
แม่พิมพ์ก็คำนวณเหมือนกับเครื่องจักร แม่พิมพ์ราคา 1 ล้านบาท ถ้าใช้ไป 2 ปี แล้วจะจำหน่ายมูลค่าตามสภาพ (คำนวณจากอายุ 5 ปี) ก็คือ 1 ล้าน x 60% คือ 600,000 บาท
ขั้นตอนคือ
1. ยื่นแบบฟอร์มขอจำหน่ายเครื่องจักร
- หนังสือนำส่งของบริษัทฯ
- รายการเอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบการพิจารณาเรื่องการนำเครื่องจักรไปใช้เพื่อการอื่น/การตัดบัญชีเครื่องจักร (F IN MC 01-03)
- แบบคำขออนุญาตจำหน่าย/โอน/บริจาคเครื่องจักร (F IN MC 04-03)
2. หากเป็นเครื่องจักรนำเข้าไม่เกิน 5 ปี จะมีภาระภาษีตามสภาพ ซึ่งต้องไปติดต่อขอชำระภาษีต่อกรมศุลกากร ตามหนังสือที่ BOI แจ้ง และเก็บเอกสารใบเสร็จรับเงินต่างๆ เป็นหลักฐานไว้
3. การขอจำหน่ายเครื่องจักร ต้องแยกแสดงเป็นแต่ละรายการ ตามที่นำเข้าและได้รับอนุมัติสั่งปล่อย โดยระบุเลขที่/วันที่หนังสืออนุมัติสั่งปล่อย ในแบบฟอร์มด้วย
การรวมบัญชีสต๊อควัตถุดิบ จะกำหนดวันที่สิ้นสุดให้เท่ากับวันที่ของบัตรที่สั้นที่สุด จากนั้นจึงจะขยายระยะเวลานำเข้าของทุกบัตรไปพร้อมๆกัน
กรณีที่สอบถาม ขั้นแรกให้รวมบัญชีสต็อค โดยกำหนดวันสิ้นสุดของทั้ง 2 บัตร เป็น 1 ก.พ. 60 จากนั้นเมื่อจะขยายระยะเวลา ให้ยื่นขอขยายเวลาพร้อมกันทั้ง 2 บัตรส่งเสริม ซึ่งปกติจะขยายให้ครั้งละ 2 ปี คือ จาก 1 ก.พ. 60 เป็น 1 ก.พ. 62
คำถามข้อที่ 1. ขอรับการส่งเสริมในหมวดนี้ได้หรือไม่ และจะขอในนามบุคคลก่อน แล้วจึงจะจดทะเบียนบริษัทภายหลัง ทั้งนี้การจดทะเบียนบริษัท A ........ CO.,LTD จะมีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท หุ้นส่วน : เกาหลี 49%: ไทย 51%
คำถามข้อที่ 2. กรณีเงินปันผล ถ้า บมจ. B... ร่วมจดทะเบียนเป็นผู้ถือหุ้นกับบริษัท A... CO.,LTD บริษัทฯ จะต้องนำเงินปันผลที่ได้มาคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีนิติบุคคลหรือไม่ หรือไม่ต้องนำมาคำนวณ
ตอบคำถามข้อที่ 1. กิจการผลิตแม่พิมพ์ ขอรับส่งเสริมได้ในประเภท 3.1.2 โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมีขั้นตอนการขึ้นรูปชิ้นส่วนที่ใช้ทำงานตามวัตถุประสงค์หลักของเครื่องจักรที่ผลิต และ/หรือ และ/หรือ การออกแบบทางวิศวกรรม สิทธิและประโยชน์ A3
ตอบคำถามข้อที่ 2. กรณีที่บริษัท A มีกำไรจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 31 และ 34 เงินปันผลส่วนที่จ่ายจากกิจการที่ได้การส่งเสริมจากบีโอไอไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ดังนั้น ผู้ถือหุ้นของบริษัท A (บุคคล/นิติบุคคล/บริษัท B) จึงไม่ต้องนำเงินปันผลดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ส่วนเงินปันผลส่วนอื่นจะต้องเสียภาษีตามที่สรรพากรกำหนด
Link ตามนี้ https://www.boi.go.th/upload/content/F%20PM%20EX%2006%20e-form_5bbc2a008049b.pdf
กรณีที่เปิดดำเนินการแล้ว แต่ต่อมาภายหลังมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น น่าจะเกิดจาก 3 สาเหตุคือ
1. แจ้งกำลังผลิตในขั้นเปิดดำเนินการ ต่ำกว่าความเป็นจริง
- ไม่อยู่ในข่ายที่จะขอแก้ไขกำลังผลิต
2. cycle time ในการผลิตลดลง (เช่น สินค้ามีขนาดเล็กลง หรือ) ทำให้ผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้น
- อาจขอแก้ไขได้เป็นกรณีๆไป ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ BOI
3. มีการลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมหลังจากได้รับในอนุญาตเปิดดำเนินการไปแล้ว
- ไม่อยู่ในข่ายที่จะขอแก้ไขกำลังผลิต
กิจการอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้า สามารถแก้ไขกำลังผลิตได้ แม้ว่าจะเปิดดำเนินการเต็มโครงการไปแล้วก็ตาม แต่หากบริษัทลงทุนเครื่องจักรเพิ่มขึ้นไปแล้ว โดยไม่ได้ยื่นขอแก้ไขโครงการต่อ BOI ก่อนที่จะซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ก็จะไม่นับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นกำลังผลิตของโครงการที่ได้รับส่งเสริม
ในบัตรส่งเสริมว่า กำหนดเงื่อนไขการยื่น ตส.310 ว่า เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว จะต้องรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบปีภายในวันที่ 31 กรกฎาคม ของปีถัดไป ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงจะยื่นเมื่อได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการแล้วเท่านั้น แต่ประมาณปีที่แล้ว BOI ได้เปลี่ยนแนวทางใหม่ คือต้องการให้รายงาน ตส.310 หลังจากที่มีรายได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการก็ตาม ซึ่ง BOI ก็ไม่แก้ไขเงื่อนไขในบัตรส่งเสริมให้สอดคล้องกัน ดังนั้น เงื่อนไขในบัตร กับวิธีปฏิบัติจริง จึงยังมีความขัดแย้งกันอยู่ สรุปคือ ณ ปัจจุบัน จะต้องยื่น ตส.310 หลังจากปีที่เริ่มมีรายได้
ช่างฝีมือที่ได้รับอนุมัติบรรจุตามสิทธิประโยชน์ BOI สามารถขอนำครอบครัว (คู่สมรส และบุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี) เข้ามาประเทศได้ โดยครอบครัวจะได้รับอนุมัติให้อยู่ในประเทศได้ตามระยะเวลาที่ช่างฝีมือได้รับอนุมัติจาก BOI ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทกิจการที่ได้รับส่งเสริม เช่น
- กิจการผลิต 2 ปี
- กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO ) 1 ปี
- กิจการ ITC และ IHQ 4 ปี
กรณีที่สอบถาม บุตรอายุ 18 ปี จึงสามารถขอใช้สิทธิข้างต้นจาก BOI ได้ แต่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ได้ถึงอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หลังจากนั้นต้องขอวีซ่าอื่น (เช่น วีซ่านักศึกษา) ตามขั้นตอนปกติ
1.การว่าจ้างบริษัทขนส่ง ให้ขนส่งสินค้าจากบริษัทที่ได้รับส่งเสริม ไปยังโรงงานของลูกค้า เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักเพิ่มได้ 2 เท่า ตามมาตรา 35(2)
2.การว่าจ้างบริษัทขนส่ง ให้ขนส่งสินค้าจากบริษัทที่ได้รับส่งเสริม ไปยังท่าเรือหรือสนามบิน เพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักเพิ่มได้ 2 เท่า ตามมาตรา 35(2) ทั้ง 2 กรณีข้างต้น จะต้องเป็นค่าขนส่งเท่านั้น ไม่รวมค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่ายกของ ค่าฝากของ ฯลฯและบริษัทที่ได้รับส่งเสริมซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง จะต้องลงบัญชีเป็นค่าขนส่งด้วย